พัฒนากลยุทธ์เทคโนโลยี AI อย่างไร? เพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุดให้กับธุรกิจของคุณ
29 ก.ย. 2564 03:50 น.ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในวงการธุรกิจได้มีการพูดถึงเรื่อง Digital Transformation กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งคือการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับทุกฟังก์ชั่นในการทำธุรกิจ ตั้งแต่รูปแบบในการทำธุรกิจ (Business model) จนถึงการสร้างประสบการณ์ของลูกค้า จนถึงกระบวนการทำงานภายในองค์กร โดยเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองในการนำเข้ามาใช้ในการทำ Digital transformation ขององค์กร
เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน โดยนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automation) การวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจ รวมถึงทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจได้แม่นยำมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าหากองค์กรไหนยังไม่ได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน หรือไม่ได้มีกลยุทธ์ทางด้าน AI บรรจุเข้าไปในกลยุทธ์ภาพรวมของธุรกิจอาจจะทำให้ธุรกิจของคุณก้าวตามหลังธุรกิจที่ได้นำระบบ AI มาใช้งานก็เป็นได้
วันนี้ AI GEN ได้สรุปแนวทางการนำกลยุทธ์เทคโนโลยี AI เพื่อไปปรับใช้กับธุรกิจในยุคปัจจุบัน รวมถึงสิ่งที่คำนึงถึงเมื่อนำระบบ AI มาใช้ภายในองค์กร และเทคโนโลยี AI จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจได้อย่างไร
เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์คืออะไร
ภาพประกอบ : Canva
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยี AI ไว้ว่า เทคโนโลยี AI หรือ Artificial Intelligence คือ “เทคโนโลยีการสร้างความสามารถให้แก่เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทางสถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ ในบางกรณีอาจไปถึงขั้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง”
กล่าวโดยสรุปให้เข้าใจง่ายๆอีกที เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์นั่นเอง
การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ภาคธุรกิจ
ในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจกันมากขึ้น จากรายงานของ Gartner พบว่าในปี 2015 จากรายงานพบว่ามีองค์กรเพียง 10% ที่ได้นำเทคโนโลยี AI ไปใช้งาน หรือวางแผนที่จะนำมาใช้งานในอนาคตอันใกล้ และเมื่อตัดภาพมาที่ปี 2019 จำนวนองค์กรที่ได้นำระบบ AI มาใช้งานสูงขึ้นเป็น 37% แสดงว่าองค์กร 1 ใน 3 ได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานกับธุรกิจของตนเองแล้ว หรือวางแผนที่จะนำมาใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้ ตัวเลขนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 270% ภายใน 4 ปี ส่วนใหญ่แล้วเป็นการเติบโตจากปี 2018 ถึง 2019 ซึ่งภายในระยะเวลาปีเดียวการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานภายในองค์กรได้สูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว จากตัวเลขทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลายองค์กรเริ่มหันมาให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI กันมากขึ้น โดยเทคโนโลยี AI ได้รับขนานนามจากผู้นำทางธุรกิจด้าน IT ทั่วโลกว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจมากที่สุด
ภาพประกอบ : Canva
โดยองค์กรได้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับในหลายภาคส่วนของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นงานขาย การตลาด การให้บริการลูกค้า การบัญชีและการเงิน รวมไปถึงการจัดการทรัพยากรบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานภายในองค์กร โดยจากผลสำรวจของ PWC พบว่าผู้บริหาร 54% ได้กล่าวว่าการนำโซลูชั่น AI เข้ามาใช้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้จริง โดยผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในเรื่องการทำให้ระบบการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีในรูปแบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ รวมถึงระบบ AI ช่วยในการคาดการณ์เทรนด์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังช่วยในการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และช่วยในการมองไปอนาคตข้างหน้าทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยี AI ช่วยธุรกิจในด้านใดได้บ้าง
จากผลสำรวจของ semrush พบว่า 86% ของ CEO ได้กล่าวไว้ว่าภายในปี 2021 นี้ ระบบ AI จะเป็นเทคโนโลยีหลักที่ถูกนำมาใช้ในบริษัท แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารตระหนัก และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการขับเคลื่อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการนำระบบ AI มาใช้กับธุรกิจมีหลากหลายด้าน ได้แก่
ภาพประกอบ : Canva
- เพิ่มประสิทธิภาพ และผลผลิตในการทำงาน : เป็นเหตุผลหลักที่หลายๆองค์กรนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ เนื่องจาก AI สามารถทำงานในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็วที่มนุษย์ไม่อาจสามารถเทียบได้ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยี AI ยังช่วยลดงานที่ต้องทำแบบเดิมซ้ำๆออกไป ทำให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
- ทำธุรกิจได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น : เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยทำให้ขั้นตอนในการทำงานสั้นลง จากการออกแบบสินค้า จนถึงการนำสินค้าออกสู่ตลาด สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคดิจิทัลที่ต้องการความรวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้บริโภค
- สร้างขีดความสามารถใหม่ให้กับธุรกิจ และการขยายโมเดลทางธุรกิจ : ผู้บริหารสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับการขยายโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆได้ เนื่องจากการนำข้อมูลที่มีอยู่ในองค์กรมาวิเคราะห์ ทำให้ผู้บริหารมองเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ได้อีกมากมาย
- ยกระดับการให้บริการลูกค้า : การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจ หากสามารถมีเจ้าหน้าที่ในการขายที่สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการอะไร โซลูชั่นที่ต้องนำเสนอ และคู่แข่งเป็นอย่างไร และนำเสนอในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ในเวลาที่ใช่ เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยธุรกิจเติมเต็มในส่วนนี้ได้ ด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะกับแต่ละบุคคล (Personalization)
- เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามงาน : เทคโนโลยี AI สามารถนำเข้า และประมวลข้อมูลจำนวนมากได้แบบเรียลไทม์ ทำให้องค์กรสามารถติดตามความเป็นไปต่างๆได้แบบเรีบลไทม์เช่นกัน รวมถึงสามารถแจ้งเตือนถึงประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้น และในบางเคส AI สามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ในเบื้องต้นอีกด้วย
- ยกระดับคุณภาพของงาน และลดความผิดพลาด : สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นได้เมื่อนำระบบ AI และ Machine learning (การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง) มาใช้กับเทคโนโลยี RPA (Robotic Process Automation) ทำให้เกิดการทำงานแบบซ้ำๆเกิดขึ้น โดยมีการกำหนดกฏเกณฑ์ให้กับงานนั้นๆ การทำงานของทั้งสองระบบไม่เพียงจะทำให้ขั้นตอนการทำงานเร็วขึ้น และลดความผิดพลาด ยังสามารถทำให้ระบบสามารถทำงานในหลากหลายหน้าที่ได้มากขึ้นอีกด้วย
- บริหารบุคลากรในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น : ระบบ AI สามารถช่วยองค์กรพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลได้หลากหลายมิติ ตั้งแต่การสรรหาพนักงาน จนถึงการสื่อสารกับพนักงานภายในองค์กร นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยการสรรหา ว่าจ้างได้อีกด้วย
สิ่งที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงในการนำกลยุทธ์เทคโนโลยี AI มาใช้
เทคโนโลยี AI มีแนวโน้มที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือรูปแบบในการทำธุรกิจได้ เหมือนกับที่อินเตอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำธุรกิจในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่มีความสามารถที่มากขึ้น การยกระดับการให้บริการ จนถึงการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีขึ้น และระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี AI สามารถทำสิ่งที่กล่าวมานี้ได้ทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าธุรกิจไหนยังไม่นำเทคโนโลยี AI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของตน อาจจะทำให้ธุรกิจนั้นๆไม่สามารถตามธุรกิจที่ได้มีการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ได้ทันแน่นอน
จึงเป็นที่มาว่าทำไมธุรกิจถึงต้องกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI แล้วทุกธุรกิจจำเป็นต้องกลยุทธ์เกี่ยวกับ AI หรือไม่ Forbes ได้มีให้คำแนะนำไว้เกี่ยวกับการจัดทำกลยุทธ์เทคโนโลยี AI ว่าหากธุรกิจต้องการจะนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ต้องคำนึงถึงปัจจัยในเรื่องดังต่อไปนี้
ภาพประกอบ : Canva
- กลยุทธ์ของธุรกิจ : การกำหนดกลยุทธ์เทคโนโลยี AI ขึ้นมาโดยเฉพาะจะไม่เกิดประโยชน์ได้เลย หากกลยุทธ์ AI นั้นไม่ได้สอดคล้องกับภาพรวมกลยุทธ์ และเป้าหมายของธุรกิจ ดังนั้นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะกำหนดกลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยี AI ให้พิจารณาถึงภาพรวมของกลยุทธ์ธุรกิจของคุณก่อน โดยให้ตั้งคำถามกับตัวคุณเอง และทีมงานว่า กลยุทธ์ธุรกิจขององค์กรตอนนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่? , กลยุทธ์ของเราตอนนี้ตอบโจทย์โลกในยุคปัจจุบันที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ฉลาด และบริการที่ดีหรือไม่? และการจัดลำดับความสำคัญของการทำธุรกิจมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่
- การจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์เทคโนโลยี AI : ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าธุรกิจของคุณจะเดินไปในทิศทางไหน จากนี้จึงเริ่มมาระบุว่าแล้ว AI จะช่วยให้ธุรกิจไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร ด้วยการกำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่ธุรกิจของคุณให้ความสำคัญมากที่สุด ปัญหาขององค์กรที่คุณต้องการแก้ไขคืออะไร และเทคโนโลยี AI จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร โดยการตอบคำถามในสิ่งเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจของคุณได้ทราบถึงกรณีศึกษาของเทคโนโลยี AI ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้กระบวนการในการทำงานเป็นระบบมากยิ่งขึ้น สร้างกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติสำหรับหน้าที่งานที่ต้องมีการทำงานแบบซ้ำๆเพื่อลดการใช้คน หรือสร้างขั้นตอนการผลิตแบบอัตโนมัติ
- การจัดลำดับความสำคัญของการนำเทคโนโลยี AI ที่จะนำมาใช้ : การจะเปลี่ยนแปลงสินค้า หรือบริการไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในวันเดียว ต้องใช้เวลาพอสมควรถึงจะเห็นถึงผลจากการนำ AI ไปปรับใช้ ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าให้ระบุถึงเทคโนโลยี AI ที่องค์กรสามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็วซัก 2-3 อย่าง เพื่อช่วยทำให้องค์เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการนำระบบ AI มาใช้ และสามารถนำเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการพิจารณาโปรเจคที่จะนำ AI มาใช้ในลำดับถัดไปได้
- กลยุทธ์ด้านข้อมูล : ระบบ AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อนำไปประมวลผลเพื่อให้ AI สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจจะต้องมีการตรวจสอบกลยุทธ์ในเรื่องข้อมูลว่าสัมพันธ์กับเคสที่จะนำเทคโนโลยี AI มาใช้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรมีแหล่งของข้อมูลที่ให้ระบบ AI สามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ และมีข้อมูลมากเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มีข้อมูลที่ใช่ และมากพอจะทำยังไงให้ได้ข้อมูลที่ต้องการมา รวมถึงเมื่อมองไปในอนาคตทำอย่างไรองค์กรถึงจะสามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้
- กฎหมาย และจริยธรรม : ไอเดียของการสร้างคอมพิวเตอร์สุดแสนอัจฉริยะทำให้ผู้คนกลัว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่บริษัท หรือองค์กรจะต้องนำเทคโนโลยี AI อย่างมีจรรยาบรรณ โดยใช้คำถามเหล่านี้ในการพิจารณา ได้แก่ จะหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้อย่างไร? การนำ AI มาใช้แบบถูกกฎหมายต้องทำอย่างไรบ้าง? ข้อมูลประเภทไหนที่ได้รับอนุญาตจากลูกค้า/พนักงาน/ผู้ใช้งานก่อนถึงจะสามารถนำข้อมูลมาใช้ได้?
- เทคโนโลยี : องค์กรจะต้องทำการระบุถึงเทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้งาน โดยต้องพิจารณาถึงเรื่องดังต่อไปนี้ เทคโนโลยีอะไรที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ (ตัวอย่างเช่น machine learning, deep learning) ในองค์กรมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ และถ้ายังไม่มีระบบอะไรที่องค์จำเป็นจะต้องมีเพื่อที่จะรองรับกับเทคโนโลยี AI
- ทักษะ และความสามารถ : สำหรับบริษัทที่ไม่ได้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Google หรือ Facebook แล้ว เทคโนโลยี AI ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่องค์กรจะต้องทำการประเมินความสามารถของทีมภายในองค์กร เพื่อดูว่าทักษะ และความสามารถตรงไหนที่ยังขาด เพื่อที่จะหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นมาเสริม หรือหา Vendor ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของโซลูชั่น AI เข้ามาช่วยเสริมในส่วนที่องค์กรยังขาดอยู่
- การนำไปใช้งาน : สิ่งที่องค์กรต้องคำนึงถึงในขั้นตอนการเปลี่ยนจากกลยุทธ์ AI สู่การนำไปใช้จริง ได้แก่ จะมีการส่งมอบโปรเจค AI อย่างไร? ขั้นตอนถัดไปคืออะไร? ใครคือผู้ดูแลการส่งมอบโปรเจคในแต่ละขั้นตอน? ขั้นตอนหรือโปรเจคไหนที่จำเป็นต้องจ้าง Vendor ภายนอกมาทำให้?
- การบริหารความเปลี่ยนแปลง : ผู้คนในองค์กรอาจจะกังวลในเรื่องการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน เพราะอาจส่งผลกระทบถึงหน้าที่งานบางอย่าง จึงทำให้การบริหารความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญในการทำโปรเจค AI โดยต้องพิจารณาถึง พนักงานหรือทีมไหนที่จะได้รับผลกระทบจากการนำระบบ AI มาใช้งาน? จะมีวิธีการสื่อสารอย่างไรเพื่อให้คนในองค์กรเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น? กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงควรมีวิธีการจัดการอย่างไร? เทคโนโลยี AI ส่งผลต่อวิธีการทำงานอย่างไรบ้าง และจะมีวิธีการในการจัดการกับวัฒนธรรมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรได้บ้าง?
ตัวอย่างกลยุทธ์เทคโนโลยี AI ที่ธุรกิจสามารถนำมาปรับใช้
หลังจากได้พิจารณาถึงปัจจัยที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงเมื่อมีนำเทคโนโลยี AI มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ และการเลือกกลยุทธ์เทคโนโลยี AI ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของธุรกิจ และปัญหาที่ธุรกิจต้องการแก้ไข ทำให้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทำให้ธุรกิจในด้านต่างๆ ซึ่งในบทความนี้ AI GEN ขอยกตัวอย่างกลยุทธ์เทคโนโลยีที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังต่อไปนี้
ภาพประกอบ : Canva
- Targeted Marketing : แผนการตลาดที่ดีส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัท และส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของแผนการตลาด คือการทำแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการ ในปัจจุบันนักการตลาดมีเครื่องมือตัวช่วยที่มีเทคโนโลยี AI มากมาย เช่น แชทบอท ซอฟต์แวร์ในการเก็บข้อมูล และเครื่องมือในการทำสื่อทางการตลาด การนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการทำการตลาดทำให้องค์กรสามารถสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยระบบ AI ไม่ได้ดูแค่เรื่องข้อมูลลูกค้า AI ช่วยดูไปถึงข้อมูลในโซเชียลมีเดีย รวมถึงข้อมูลยอดขาย เพื่อแนะนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันที่ต้องการการแนะนำสินค้า หรือโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และด้วยการทำการตลาดแบบรายบุคคล หรือ Personalization จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรได้มากยิ่งขึ้น
- กระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ : องค์กรสามารถนำกระบวนการทำงานแบบอัตโนัติมาใช้ในหน้าที่การทำงานที่ต้องใช้เวลามาก และเป็นงานที่ต้องในรูปแบบเดิมๆซ้ำๆ โดยให้เทคโนโลยี AI มาทำงานในส่วนนี้ให้แทน ซึ่ง AI สามารถทำได้รวดเร็ว และแม่นยำมากกว่า เช่น การกรอกข้อมูลจากเอกสารเข้าระบบ การวิเคราะห์ข้อมูล การสรรหา และว่าจ้างบุคลากร และการบริการลูกค้า ทำให้พนักงานสามารถมีเวลาโฟกัสกับการสร้างประสบการณ์ลูกค้า หรืองานที่สามารถเพิ่มยอดขายให้กับองค์กรได้มากยิ่งขึ้น
- การวิเคราะห์ข้อมูล : AI สามารถจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว และสามารถจัดรูปแบบข้อมูลให้เข้าใจง่ายเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลไปใช้ต่อได้ ดังนั้นการใช้ AI ในการจัดการข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำ และสามารถให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจกับผู้ที่จะต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ ความสามารถของการวิเคราะห์ข้อมูลของระบบ AI ช่วยทำให้ธุรกิจพัฒนากลยุทธ์ทางด้านราคาแบบอัจฉริยะได้ ระบุวิธีที่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงได้ รวมถึงระบุกระบวนการที่ต้องได้รับการปรับปรุงในกระบวนการผลิตได้ เป็นต้น
- การให้บริการลูกค้า : Gartner ได้ระบุว่าภายในปี 2020 การปฎิสัมพันธ์กับลูกค้ามากกว่า 85% จะไม่มีการใช้คนในการพูดคุย โดยจะเป็นการนำแชทบอทเข้ามาใช้ในการให้บริการลูกค้าแทน ซึ่งจะช่วยพนักงานในการประหยัดเวลาในการตอบคำถามลูกค้า ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสในการให้บริการลูกค้าที่ต้องการความช่วยเหลือแบบพิเศษ รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าแชทบอทจะไม่ได้สามารถให้บริการแทนคนได้แบบสมบูรณ์แบบ แต่ในปัจจุบันความสามารถของแชทบอทได้พัฒนาไปมากทำให้แชทบอทเองสามารถเลียนแบบการตอบคำถามได้เหมือนกับคุยกับพนักงานเอง ให้บริการลูกค้าได้ 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก และตอบคำถามลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ รวมทั้งรองรับการสนทนาได้หลากหลายภาษา
- การตรวจสอบคุณภาพ และการตรวจโรคแบบอัจฉริยะ : ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ทำให้ระบบทางด้านการสาธารณสุข หรือการแพทย์สามารถค้นหาข้อมูลได้แบบอัตโนมัติเพื่อหาปัจจัยที่จะบอกว่าใครมีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งเต้านม หรือโรคหัวใจ และ AI จะยิ่งมีความแม่นยำมากขึ้นเมื่อได้อ่านข้อมูลมากขึ้น ในแง่ของการควบคุมคุณภาพ ระบบ AI สามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อระบุถึงปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ และหาสาเหตุของปัญหานั้นเพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพ
- Lead generation : ความสำเร็จของเจ้าหน้าที่การขาย คือปริมาณ และคุณภาพของจำนวนคนที่จะมีแนวโน้มเป็นลูกค้า (Lead) นั่นเอง และเทคโนโลยี AI จะเข้ามาช่วยในการสร้าง Lead ทำให้เจ้าหน้าที่การขายมีเวลาเต็มที่ในการติดตามขาย และหากลยุทธ์เพื่อที่จะปิดการขาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แพลทฟอร์ม CRM ไม่ว่าจะเป็น Hubspot, Salesforce, Marketo Engage สามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้ รวมถึงยังมีแพลทฟอร์มที่สามารถจัดลำดับความสำคัญของ Lead ที่เข้ามา เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่การขายทราบว่าควรจะโฟกัสที่ Lead เจ้าไหนก่อน แพลทฟอร์มที่ช่วยทำ Lead scoring ได้แก่ VanillaSoft, Maroon.ai, Oracle DataFox เป็นต้น
- การตั้งราคาขาย : เพื่อที่จะปิดการขายหลายองค์กรมักจะให้เจ้าหน้าที่การขายเป็นคนตัดสินใจในเรื่องของราคาที่จะเสนอขายให้กับลูกค้า โดยดูจากต้นทุนที่องค์กรประกอบการตัดสินใจ และระหว่างขั้นตอนที่จะปิดการขาย เจ้าหน้าที่การขายอาจจะมีการปรับราคาขึ้นลงได้ตามสถานการณ์ แต่ก็ต้องเป็นราคาที่สูงพอจะที่ครอบคลุมต้นทุนขององค์กร ในขณะเดียวก็ต้องเป็นราคาที่ลูกค้ารับได้เช่นกัน เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการเสนอราคาแล้วนั้น เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนนี้ได้ โดยการคิดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดที่เหมาะสมที่สุดกับลูกค้าแต่ละรายนั้นเอง
- การสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะกับลูกค้าในแต่ละกลุ่ม : เมื่อเจ้าหน้าที่ในการขายเป็นคนจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าแต่ละราย สิ่งที่ต้องทำถัดไปคือการเตรียมคอนเทนต์ หรือสื่อการตลาดที่ต้องใช้ในการปิดการขายสำหรับลูกค้าแต่ละราย โดยระบบ AI สามารถเข้ามาช่วยจัดการในเรื่องนี้ได้ โดยออกแบบคอนเทนต์ หรือสื่อทางการตลาดให้เหมาะกับความต้องการ และประวัติของลูกค้าในแต่ละรายที่มีเก็บไว้ใน CRM Platform เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
สรุป
เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบันอีกต่อไป หากธุรกิจต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างบริการที่แตกต่าง และเหนือกว่าคู่แข่งในท้องตลาด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับผู้ใช้บริการ การนำกลยุทธ์เทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในกลยุทธ์หลักของธุรกิจถือเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับองค์กร รวมถึงการหาโซลูชั่น AI ที่ตอบโจทย์เป้าหมายหลักของธุรกิจถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเช่นกัน