เทคโนโลยี AI คืออะไร? รู้จักกับ3 ประเภทของ AI ที่เพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจ
15 พ.ย. 2564 19:17 น.ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายๆคนที่ได้ติดตามเรื่องราวในแวดวงเทคโนโลยี ธุรกิจ และดิจิทัลต้องเคยได้ยินคนพูดถึงเรื่อง AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ทั้งในมุมที่ AI จะเข้ามาช่วยเหลือให้การใช้ชีวิต และการทำงานสะดวกสบาย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงในมุมการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจหรือ AI จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์หรือเปล่า
แท้จริงแล้ว Artificial Intelligence หรือ AI เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวพวกเราทุกคน และเราอาจจะได้ใช้งาน AI อยู่ในชีวิตประจำวันกันอยู่แล้ว อาทิเช่น ระบบนำทาง ระบบแนะนำภาพยนตร์ หรือสินค้า ระบบสั่งงานด้วยเสียง เป็นต้น
ในบทความนี้ เราจะพามาทำความรู้จัก AI กันมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งประโยชน์ และขีดความสามารถที่ AI จะช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณได้ดียิ่งขึ้น
AI คืออะไร
ภาพประกอบ : Canva
ได้มีคนให้คำนิยาม AI หรือ Artificial Intelligence ไว้กันอย่างหลากหลาย
Deloitte ได้รวบรวมความหมายของ AI ไว้ว่า “AI หรือปัญญาประดิษฐ์ คือ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมที่โดยปกติแล้วต้องการความสามารถในการคิด และรับรู้ของมนุษย์” หรือ
“AI คือศาสตร์ของการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เหมือนกับมนุษย์”
และเจ้าพ่อผู้ค้นพบวงการ AI -Alan Turing ได้ให้คำนิยามของปัญญาประดิษฐ์ไว้ว่า
“ปัญญาประดิษฐ์ คือศาสตร์แห่งวิศวกรรมในการสร้างคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ โดยเฉพาะการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถวางแผน หาเหตุผล เรียนรู้ รับรู้ และสร้างมุมมองความรู้ และสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยี AI ไว้ว่า เทคโนโลยี AI หรือ Artificial Intelligence คือ “เทคโนโลยีการสร้างความสามารถให้แก่เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทางสถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ ในบางกรณีอาจไปถึงขั้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง”
กล่าวโดยสรุปให้เข้าใจง่ายๆอีกที เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์นั่นเอง
ประเภทของ AI และตัวอย่างการใช้งานทางธุรกิจ
จากข้อมูลการศึกษาของ Harvard Business Review หากมองเทคโนโลยี AI ในมุมของการนำ AI มาเพิ่มช่วยขีดความสามารถของธุรกิจ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ สามารถช่วยตอบโจทย์ธุรกิจได้ใน 3 ประเด็นหลักๆ ดังต่อไปนี้ ทำให้กระบวนการในทำงานบางอย่างเป็นรูปแบบอัตโนมัติ ได้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและพนักงานภายในองค์กร และหากจะแบ่งประเภทของ AI ที่ประยุกต์ใช้กับธุรกิจ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. Process automation
เป็นประเภทของ AI ที่สามารถพบเจอได้มากที่สุดในการนำ AI ไปใช้ในภาคธุรกิจ โดยการนำระบบ automation มาใช้ในการทำงานทั้งในรูปแบบที่เป็นแบบดิจิทัล และเอกสารจับต้องได้ กับงานที่เป็น Back-office และกิจกรรมทางการเงิน ผ่านทางระบบ Intelligent Document Processing หรือการประมวลผลเอกสารอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) และ Robotic Process Automation หรือ RPA เป็นการใช้โปรแกรม AI ที่ทำงานเหมือนมนุษย์ในการป้อนข้อมูล และสามารถอ่านข้อมูลจากหลายๆระบบ และสามารถส่งข้อมูลกลับไปยังระบบขององค์กรได้ผ่านการเชื่อมต่อ API ช่วยประหยัดเวลาในการทำงาน และลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลได้เป็นอย่างมาก
ภาพประกอบ : Canva
ตัวอย่างการใช้งานทางธุรกิจ :
-
การโอนย้ายข้อมูลจากอีเมล์ และระบบ Call center ไปยังระบบที่ใช้บันทึกข้อมูลลูกค้า เช่น การเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของลูกค้า หรือเปลี่ยนแปลงการใช้บริการ เป็นต้น
-
การออกบัตร ATM ใหม่ เพื่อทดแทนบัตรที่หายไป ต้องมีการเข้าถึงหลายระบบ เพื่ออัพเดทข้อมูล และจัดการเรื่องการสื่อสารกับลูกค้า
-
อ่านเอกสารทางกฎหมาย และสัญญา และดึงข้อมูลออกมา โดยใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ(Natural Language Processing)
-
อ่านข้อมูลเอกสารประเภทต่างๆ เช่น บัตรประชาชน ใบเสร็จรับเงินและใบแจ้งหนี้ ใบเคลมประกัน Book bank และดึงข้อมูลออกมาได้ในรูปแบบต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง ด้วยเทคโนโลยี OCR ที่มี AI เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
2.Cognitive Insight
การใช้ Algorithms ในการหารูปแบบจากข้อมูลจำนวนมาก และสามารถแปลความหมายจากข้อมูลเหล่านั้นได้ ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ”
ภาพประกอบ :Canva
ตัวอย่างการใช้งานทางธุรกิจ :
-
คาดการณ์สินค้าที่ลูกค้าแต่ละคนจะซื้อได้
-
ระบุการทุจริตในการขอวงเงินบัตรเครดิต รวมถึงการทุจริตในการเคลมประกัน
-
วิเคราะห์ข้อมูลการรับประกันเพื่อที่จะระบุถึงความปลอดภัย และปัญหาเรื่องคุณภาพในธุรกิจรถยนต์ และสินค้าอื่นๆ
-
แสดงโฆษณาตามความสนใจของลูกค้าแต่ละบุคคลคนโดยแบบอัตโนมัติ
-
ให้บริษัทประกันสามารถทำโมเดลคณิตศาสตร์ประกันภัยได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
3.Cognitive Engagement
ประยุกต์ใช้กับโปรเจคที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือพนักงานในองค์กร โดยใช้แชทบอท หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ
ภาพประกอบ :Canva
ตัวอย่างการใช้งานทางธุรกิจ :
-
Call center อัจฉริยะ ที่สามารถให้บริการได้ 24 ชั่วโมง สามารถให้บริการได้ทั้งคำถามทั่วไป และคำถามเฉพาะเจาะจงในหลากหลายภาษา
-
เว็บไซต์ภายในบริษัทที่ตอบคำถามพนักงานในหลากหลายหัวข้อ ตั้งแต่ IT , ผลประโยชน์พนักงาน และนโยบายเรื่องการบุคคล
-
การแนะนำสินค้า และบริการให้กับลูกค้าแบบรายบุคคลสำหรับธุรกิจค้าปลีก เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และเพื่อเพิ่มยอดขาย
-
ระบบแนะนำการรักษารายบุคคลที่ช่วยแนะนำการรักษาโดยเฉพาะบุคคลนั้นๆ โดยดูจากข้อมูลประวัติการรักษา และประวัติของคนไข้
ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับธุรกิจ
เทคโนโลยี AI มีประโยชน์กับธุรกิจในหลากหลายด้าน ขึ้นอยู่กับโจทย์ของแต่ละธุรกิจว่าต้องการนำระบบ AI ไปช่วยพัฒนาธุรกิจในด้านใด อ้างอิงข้อมูลจาก Accenture ได้สรุปเกี่ยวประโยชน์ของเทคโนโลยี AI ไว้ดังต่อไปนี้
-
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-End) : ระบบ AI ช่วยลดความขัดแย้ง และพัฒนาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้อย่างมหาศาล นอกจากนั้นเทคโนโลยี AI ยังช่วยให้กระบวนการทำงานเดิมที่มีความซับซ้อนสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติ และช่วยลดเวลาที่เครื่องจักรไม่ทำงานด้วยการคาดการณ์ความต้องการในซ่อมแซมเครื่องจักรได้แบบล่วงหน้า
-
เพิ่มระดับความแม่นยำ และยกระดับการตัดสินใจ : เทคโนโลยี AI ช่วยทำให้มนุษย์ฉลาดมากยิ่งขึ้นด้วยข้อมูลการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์ และความสามารถในการคาดการณ์รูปแบบแพทเทิร์นต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ที่ทำให้การตัดสินใจของพนักงานมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความคิดสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น
-
โดดเด่นในเรื่องความอัจฉริยะ : เพราะคอมพิวเตอร์คิดแตกต่างจากมนุษย์ คอมพิวเตอร์สามารถเติมเต็มช่องว่าง และโอกาสที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้า และบริการ รวมถึงช่องทางการขายใหม่ๆ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ที่แต่เดิมไม่สามารถทำได้
-
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับพนักงาน : AI ช่วยเข้ามาจัดการงานที่ต้องทำในรูปแบบเดิมๆ และต้องทำแบบซ้ำๆได้ ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานของพนักงาน และสนับสนุนให้พนักงานมีบทบาทในการทำให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ช่วยค้นพบศักยภาพอันน่าทึ่งที่มีอยู่ในตัวของพนักงานที่ไม่ได้มีร่างกายสมบูรณ์ 100% ในขณะเดียวกัน AI ช่วยทำให้พนักงานทุกคนทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
-
ส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า : ด้วยเทคโนโลยี Machine learning ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ได้ข้อมูล Insight ของลูกค้าแบบครบลูป 360 องศา ส่งผลทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้า และบริการแบบ Hyper personalizationได้ เริ่มตั้งแต่แชทบอทที่ให้บริการได้อย่างรวดเร็วแบบ 24 ชั่วโมง ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยี AI ในการให้ข้อมูลลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ และส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับลูกค้า ทำให้ธุรกิจเติบโต และรักษาฐานลูกค้าให้มาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าในภาพรวมได้อีกด้วย
สรุป
เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการทำธุรกิจ การนำระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาปรับใช้กับชีวิตทำให้เราได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลา และทรัพยากรอีกด้วย ในขณะเดียวกันการนำระบบ AI มาใช้ในการทำธุรกิจเป็นไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยเลือกเครื่องมือ AI ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณจะช่วยพัฒนาศักยภาพของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาวได้อีกด้วย