3 ตัวอย่างที่เทคโนโลยี AI ทำให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น
06 ก.ย. 2564 01:09 น.เทคโนโลยี AI ได้มีการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ และการประสบความสำเร็จในการใช้ระบบ AI เล่นหมากรุกเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความสำเร็จในการนำนวัตกรรมของเทคโนโลยี AI มาใช้ในภาคธุรกิจเช่นกัน
เทคโนโลยี AI ถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวมาอย่างยาวนาน แต่หลายคนมีการโต้เถียงว่าไม่จริง เทคโนโลยี AI ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราต่างหาก คำศัพท์หลายคำ เช่น Machine learning และ Cloud computing ถูกพูดถึงไม่เพียงแต่ในกลุ่มคนผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แม้แต่บุคคลทั่วไปก็ได้มีพูดถึงเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
การพัฒนาของเทคโนโลยี AI ได้ถูกแสดงให้เห็นจากความสามารถของการใช้ระบบ AI ในการเล่นหมากรุก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เทคโนโลยี AI ได้ก้าวหน้าไปอย่างมากจนถึงขั้นที่ทำให้ AI เองสามารถเรียนรู้การเล่นหมากรุกได้เอง และสามารถพัฒนาไปถึงขั้นการเล่นหมากรุกได้เหมือนกับผู้เล่นหมากรุกระดับโลก
เทคโนโลยี AI ได้ถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวาง รวมถึงในภาคธุรกิจเองที่ได้รับประโยชน์จากการนำระบบ AI ไปใช้งานเช่นกัน
หลายๆธุรกิจเริ่มมีการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้งาน จากผลสำรวจในปี 2016 พบว่า 38%ของผู้ตอบแบบสอบถามได้มีการนำระบบ AI มาใช้กับธุรกิจแล้ว และอีก 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ยังไม่ได้มี การนำระบบ AI มาใช้มีความตั้งใจที่จะเริ่มนำระบบ AI มาใช้ในปี 2018
ในบทความนี้ AI GEN จะมาเล่าถึงว่าเทคโนโลยี AI สามารถช่วยทำให้ชีวิตของเจ้าของธุรกิจ และพนักงานในยุคปัจจุบันดีขึ้นอย่างไรบ้าง
1.เทคโนโลยี AI ช่วยยกระดับทีมขาย
การขายไม่ได้เพียงหน้าที่หนึ่งในธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นกิจกรรมในเรื่องของจิตวิทยาที่พนักงานขายต้องหาวิธีที่ใช่ในการเข้าหาลูกค้าเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายในการขาย พนักงานที่ทำงานในสายงานการขายไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้ในเรื่องของธุรกิจ และสินค้าของบริษัทเท่านั้น ยังต้องมีความสามารถในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ว่าบทสนทนากับลูกค้าเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้วสิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ค่อนข้างยากเมื่อเป็นการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยทำให้สถานการณ์นี้ดีขึ้นได้ และลดความกดดันของพนักงานขายที่ต้องคอยวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยตัวเอง โดยระบบ AI จะสามารถตรวจจับน้ำเสียงของลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยในการทำงานของพนักงานขายให้ง่ายขึ้น
ภาพประกอบ : Canva
การตัดสินในเรื่องของน้ำเสียงในการพูดคุยโดยที่ไม่เจอหน้ากันนั้นทำได้ยากมาก ตามที่สถิติที่ได้มีกล่าวไว้ว่า 93%ของการสื่อสารนั้นอยู่ในสิ่งที่ไม่ได้มีการพูดออกมา (Nonverbal) แน่นอนว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ แต่ตัวเลขสถิติที่ถูกสื่อสารออกไปในวงกว้างทำให้เห็นว่าหลายๆคนให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่ไม่ได้มีการใช้ถ้อยคำค่อนข้างมาก พนักงานขายที่ได้พูดคุยกับลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะสังเกตการแสดงออกของลูกค้าในรูปแบบอื่นๆ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับทีมขายให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น พนักงานโดยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักจิตวิทยา แต่ด้วยเทคโนโลยี AI ประกอบกับ Machine learning สามารถทำหน้าที่ในการอ่านใจลูกค้าได้ดีกว่าพนักงานขายทำเองคนเดียว
2.เทคโนโลยี AI สามารถพยากรณ์พฤติกรรมของลูกค้า
Targeted ads ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน และเราต่างเคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนหน้านี้ เมื่อเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์หน้าใดหน้าหนึ่ง และโฆษณาจะแสดงอยู่ตรงด้านบนของเว็บไซต์เพื่อโปรโมตการแนะนำสินค้าที่เหมาะสำหรับคุณเท่านั้น และโฆษณาที่ถูกเลือกมาแสดงเฉพาะแต่ละบุคคลสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และนำเสนอสินค้าที่แตกต่างกันออกไปตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เปลี่ยนไป โดยการโฆษณาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เทคโนโลยี AI สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เทคโนโลยี AI ทำให้กระแสของ E-commerce และการโฆษณาออนไลน์เปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นเพราะว่าเทคโนโลยี AI สามารถช่วยคาดการณ์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำมากกว่าวิธีการเดิมๆที่มีอยู่
สมองของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากที่สุด โดย Machine learning และ Neuron network (โครงข่ายประสาทเทียม) ถูกสร้างขึ้นมาโดยเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีทั้ง 2 อย่างนี้ไม่ได้สามารถทำงานได้เท่ากับสมองของมนุษย์ แต่เทคโนโลยีเหล่านี้มีความสามารถที่จะคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าได้ดีกว่าวิธีการเดิมที่ใช้กันอยู่นั่นคือการใช้คุ๊กกี้ในการเก็บข้อมูล
ภาพประกอบ : Canva
Target ads เป็นเรื่องที่ลูกค้าหลายคนไม่ค่อยชอบใจด้วยเหตุผลหลากหลายประการ Harvard Business School ได้ทำการศึกษาเรื่อง Target ads พบว่า Target ads อาจจะทำให้ลูกค้าเสียความเชื่อถือในแบรนด์ได้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากกว่าโฆษณารายบุคคล เพราะกลัวว่าข้อมูลของลูกค้าจะถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องโดยบุคคลที่สาม เป็นต้น เมื่อการเก็บข้อมูลของลูกค้ามีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจะต้องให้สำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี และด้วยระบบการเก็บของข้อมูลได้เป็นจำนวนมากของ AI นอกจากจะสามารถดูได้ว่าลูกค้ามีการค้นหาคีย์เวิร์ดไหน แล้วนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้อง ด้วยโมเดลของ Machine learning สามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าแบบเชิงลึก เพื่อที่จะช่วยธุรกิจในการคาดการณ์นิสัย หรือพฤติกรรมของลูกค้าได้ในอนาคตได้อีกด้วย หนทางเดียวที่ธุรกิจจะสามารถบรรเทาความกังวลในเรื่องนี้ คือทำให้ลูกค้าเชื่อใจว่าบริษัทมีนโยบายในการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรัดกุม และไม่มีการแชร์ข้อมูลลูกค้าให้กับบุคคลที่สามโดยเด็ดขาด ลูกค้าเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก แต่ต้องไม่ใช่กับการแลกด้วยข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า
3.เทคโนโลยี AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ
ในบางครั้งนวัตกรรมที่มีประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่นวัตกรรมที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ แต่เป็นนวัตกรรมที่ช่วยทำให้การทำงานเดิมที่มีอยู่เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ถ้างานนั้นสามารถทำได้เร็วขึ้น พนักงานสามารถนำเวลาที่เหลือไปทำงานอย่างอื่นได้ ตัวอย่างเช่น การคิดค้นคอมพิวเตอร์ที่สามารถลดเวลาการทำงานของหน่วยงานบัญชี ในขณะเดียวบางงานที่ต้องบันทึกด้วยระบบแมนนวล ตอนนี้สามารถใช้ระบบดิจิทัลมาช่วยในการจัดการ ทำให้สามารถประหยัดเวลา และทำงานได้เร็วขึ้น ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยพนักงานในหลากหลายหน้าที่ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และประหยัดเวลาการทำงาน ในปี 2015 มีผลวิจัยออกมาว่า 80%ของธุรกิจ และผู้นำทางด้านเทคโนโลยีกล่าวว่าเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยสร้างงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ภาพประกอบ : Canva
เมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาไปมากขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเล่นเกมส์หมากรุกที่ใช้ AI AlphaZero ของบริษัท Deepmind (บริษัท AI ของ Google) ที่สามารถเรียนรู้การเล่นหมากรุกจากความรู้พื้นฐานก่อนที่พัฒนากลยุทธ์ในการเล่นมาเรื่อยๆจนสามารถชนะการแข่งขันกับมนุษย์ได้ สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการทดลองการใช้เทคโนโลยี AI กับการเล่นหมากรุก คือสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI มีประโยชน์กับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ความสามารถในการเรียนรู้ของระบบ AI ทำให้บริษัท Deepmind สามารถพัฒนาทักษะในการเล่นหมากรุกเหมือนผู้เล่นหมากรุกระดับโลกได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถนำมาใช้กับธุรกิจได้เช่นกันซึ่งโดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับงานที่อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล ตัวอย่างเช่น แต่ก่อนพนักงานต้องใช้เวลาในการจัดการสเปรดชีตจะสามารถนำเวลาที่จัดการสเปรดชีตไปใช้ในการทำงานอย่างอื่นได้โดยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการจัดการซึ่ง AI สามารถทำได้เร็วกว่าที่ใช้คนทำ หรือพนักงานอีกคนทำงานด้านการให้บริการลูกค้าสามารถลดจำนวนงานลงได้จากการนำแชทบอทเข้ามาช่วยในการตอบคำถามลูกค้าบางคน โดยลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาหลังจากที่ได้พูดกับแชทบอทในเบื้องต้นแล้ว พนักงานจะมารับช่วงในการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าต่อ
ในบางครั้งการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจมาจากเรื่องการจัดการข้อมูล เทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งเดิมต้องใช้คนในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ และจากผลวิจัยเดียวกันพบว่าผู้บริหารกล่าวว่าเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจ โดย 59%ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าการใช้เทคโนโลยี AI และ Big data ช่วยทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับธุรกิจได้
สรุป
ในขณะการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในภาคธุรกิจดูเหมือนเป็นไอเดียที่มาจากนิยายทางวิทยาศาสตร์ แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยี AI ไม่ได้แค่เรื่องในนิยายอีกต่อไป ช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI ยังเป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน และยังเป็นเรื่องใหม่ได้ผ่านไปแล้ว ในตอนนี้ระบบ AI ได้รับการรับรองจากผู้บริหารองค์กรทั่วโลกในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจได้จริงในหลากหลายมิติ ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะเลือกนำเทคโนโลยี AI ไปปรับใช้กับองค์กรในมิติไหน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว
อ้างอิง : Business.com