10 ตัวอย่างของเทคโนโลยี AI ที่ทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น
01 ธ.ค. 2564 03:18 น.เมื่อพูดถึงเรื่องปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI หลายคนอาจจะมองเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และไกลตัว และมีแต่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นถึงจะสามารถใช้เทคโนโลยี AI ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น AI อยู่รอบตัวเรา และมักได้ใช้ในชีวิตประจำวันกันอยู่เสมอ โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพามารู้จักกับ 10 ตัวอย่างของ AI ในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยอำนวยความสะดวก และทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น
1.การปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ด้วย Face ID
ภาพประกอบ : Freepik
สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ทำหลังจากตื่นนอน คือหยิบสมาร์ทโฟนเพื่อเช็คข้อมูลข่าวสารต่างๆ และเมื่อโทรศัพท์ถูกปลดล็อคหน้าจอโดยการใช้ biometrics หรือเทคโนโลยีชีวมิติ* เช่น Face ID ถือเป็นการใช้เทคโลยี AI ในรูปแบบหนึ่ง ตัวอย่างที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ Apple Face ID โดย Apple Face ID สามารถมองเห็นได้ในรูปแบบ 3 มิติ โดยจะเก็บรายละเอียดบนในหน้าถึง 30,000 จุด และใช้อัลกอริทึ่มของ Machine Learning ในการเปรียบเทียบใบหน้าที่กำลังสแกนกับรูปที่เก็บเอาไว้ เพื่อที่จะตัดสินว่าคนที่กำลังจะปลดล็อคหน้าจอใช้คุณหรือไม่ โดย Apple กล่าวว่าโอกาสที่จะหลอก Face ID ได้ คือหนึ่งในล้าน
*Biometrics หรือเทคโนโลยีชีวมิติ คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตน (Identification) และตรวจพิสูจน์ผู้ใช้ (Verification) โดยใช้เทคนิคการแปรค่าเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล มาวิเคราะห์และเปรียบเทียบความแตกต่าง ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และสะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
2.โซเชียลมีเดีย
ภาพประกอบ : Freepik
สิ่งที่คนมักทำต่อไปจากการหยิบโทรศัพท์แล้ว คือการเช็คข่าวสาร หรือเรื่องราวอัพเดทบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter และอื่นๆ เทคโนโลยี AI ไม่เพียงแต่อยู่เบื้องหลังในการเลือกโพสต์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณสนใจขึ้นมาโชว์ โดยดูจากความสนใจ และการมีปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดียในอดีต ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังสามารถแนะนำเพื่อนที่คุณอาจจะรู้จัก กรองข่าวปลอม รวมถึง Machine Learning ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งคุกคามผ่านโลกไซเบอร์ (Cyberbullying) ได้อีกด้วย
3.การส่งอีเมล์ หรือข้อความต่างๆ
ภาพประกอบ : Freepik
เราทุกคนมีการส่งอีเมล์กันทุกวัน มีเครื่องมือ เช่น Grammarly ที่ช่วยเช็คความถูกต้องของคำและไวยากรณ์บนอีเมล์ เพื่อช่วยทำให้การเขียนอีเมล์ของคุณไม่มีคำผิด หรือ Gmail ที่มีการแนะนำคำ และไวยากรณ์ที่ถูกต้องให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ได้นำเทคโนโลยี AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) มาใช้งาน หรือในการรับอีเมล์ ฟิลเตอร์สแปมใช้เทคโนโลยี AI ในการที่บล็อกอีเมล์ที่อาจจะเป็นอีเมล์สแปม หรือระบุว่าอีเมล์ที่ผู้รับจะได้รับจะอยู่ในหัวข้อไหนในอินบ็อกซ์ของผู้รับ รวมถึงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสยังได้นำเทคโนโลยี Machine Learning มาช่วยในการป้องกันความปลอดภัยให้กับอีเมล์ของคุณอีกด้วย
4.การค้นหาบน Google
ภาพประกอบ : Freepik
เชื่อว่าทุกคนต้องได้ใช้การค้นหาบน Google กันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการคำตอบเกี่ยวอะไรบางอย่าง หรือหาสินค้า และบริการที่เราต้องการรู้จัก หรือใช้บริการอยู่เป็นประจำ Search engines ไม่สามารถค้นหาข้อมูลทั่วอินเตอร์เน็ตให้เราได้ ถ้าหากไม่มีเทคโนโลยี AI หรือเราอาจจะเคยเจอโฆษณาที่ตามเราไปทุกที่ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน สิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์เช่นกัน โดยดูจากการค้นหาในอดีต และนำเสนอให้กับแต่ละบุคคล (Personalize) โดยมีเป้าหมาย คือการนำเสนอสิ่งที่ผู้ใช้แต่ละคนสนใจ
5.การสั่งงานด้วยเสียง
ภาพประกอบ : Freepik
ตั้งแต่การสอบถามเส้นทางไปร้านอาหารโปรด จนถึงการสอบถามพยากรณ์อากาศประจำวัน ผู้ช่วยในการสั่งงานด้วยเสียงกลายเป็นสิ่งที่หลายๆคนขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างผู้ช่วยในการสั่งงานด้วยเสียง ได้แก่ Siri, Alexa, Google home จนถึง Cortana โดยเครื่องมือเหล่านี้ใช้ระบบการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) โดยเทคโนโลยี AI จะประมวลผล และตอบคำถามให้กับผู้ใช้งาน
6.อุปกรณ์สมาร์ทโฮม
ภาพประกอบ : Pixabay
จากบ้านปกติกลายเป็นบ้านที่ “ฉลาด”มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี AI หลายๆบ้านอาจจะคุ้นเคยกับเครื่องควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ เช่น Nest ที่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการปรับอุณหภูมิตามความชอบของเจ้าของบ้าน รวมถึงตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถบอกได้ว่าของอะไรบ้างที่คุณต้องการ แต่ตอนนี้ไม่มีของนั่นอยู่ในตู้เย็น รวมถึงยังสามารถแนะนำประเภทของไวน์ที่จะเข้ากับมื้อเย็นของคุณให้ได้อีกด้วย
7.การเดินทางไปทำงาน
ภาพประกอบ : Freepik
เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการเดินทางมากกว่าการบอกเส้นทาง Google maps และแอปการเดินทางอื่นๆ ใช้ AI ในการติดตามการจราจร เพื่อแจ้งข้อมูลการจราจร และสภาพอากาศได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงแนะนำเส้นทางที่สามารถเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นได้ นอกจากนั้นรถบางคันอาจจะมีระบบเทคโนโลยีการช่วยเหลือผู้ขับ เช่นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถใช้บริการ Self-driving car จากบริษัทลูกของ Google ที่ชื่อว่า Waymo ได้
8.ธุรกรรมทางการเงิน
ภาพประกอบ : Pixabay
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบของธนาคารได้หลากหลายวิธี ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และป้องกันการทุจริต ระบบ AI เป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมเหล่านี้ ได้แก่ การฝากเช็คด้วยการสแกนด้วยมือถือ ระบบแจ้งเตือนเมื่อยอดเงินคงเหลือต่ำ หรือแม้กระทั่งการล็อคอินเข้าไปใช้ระบบโมบายแบงค์กิ้ง ถ้าคุณเข้าไปซื้อกางเกงที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ระบบ AI จะวิเคราะห์ว่าธุรกรรมนี้เป็นธุรกรรมที่คุณใช้เป็นปกติหรือไม่ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามีบุคคลที่ไม่พึงประสงค์นำบัตรเครดิตของคุณไปใช้หรือไม่
9.การแนะนำสินค้าของอเมซอน (Amazon)
ภาพประกอบ : Freepik
บริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา “อเมซอน” เป็นที่ที่ลูกค้าได้สัมผัมกับประสบการณ์การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ได้หลากหลายช่องทางจนเป็นเรื่องปกติ อเมซอนได้ใช้อัลกอรึทึ่มมาเรียนรู้ว่าคุณชอบสินค้าอะไร และคนที่คล้ายกับคุณชอบสินค้าอะไร เพื่อที่จะแนะนำสินค้าที่เหมาะกับคุณ อเมซอนมั่นใจในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analysis) เป็นอย่างมากว่าจะสามารถแนะนำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ ก่อนที่ลูกค้าจะกดเพิ่มสินค้านั้นลงในตะกร้า
10.เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)
ภาพประกอบ : Freepik
เมื่อถึงเวลาพักผ่อน หลายคนเลือกดู Netflix หลังจากเลิกงาน หรือในวันหยุด เทคโนโลยี AI เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการแนะนำหนัง หรือซีรีส์ที่น่าสนใจให้กับเรา โดยเก็บข้อมูลจากประวัติการดู นักแสดง ระยะเวลาที่ดูหนังเรื่องนั้น และอื่นๆ และจากการสำรวจ 80%ของหนัง หรือซีรีส์ที่เราดูใน netflix มาจากระบบการแนะนำนั่นเอง
สรุป
เรียกได้ว่า AI อยู่ในทุกๆวันของการใช้ชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ตื่นนอน เดินทาง ทำงาน จนถึงตอนพักผ่อนโดยที่เราอาจจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว เทคโนโลยี AI ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์อย่างมากมายจนกลายส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในยุคปัจจุบัน จนไม่สามารถที่จะนึกภาพการใช้ชีวิตที่ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีเทคโนโลยี AI อยู่เบื้องหลังกันได้แล้ว
อ้างอิง : Forbes